ประวัติการใช้งาน ของ เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก

ในช่วงปีแรกๆ ของโครงการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527-2535 กองบินของเอฟ-117เอได้ตั้งฐานอยู่ที่สนามบินในเนวาดา ที่ซึ่งมันทำหน้าที่ในฝูงบินยุทธวิธีที่ 4450 เพราะว่าเอฟ-117 ยังคงเป็นความลับอยู่ในตอนนั้น ฝูงบินยุทธวิธีที่ 4450 จึงถูกย้ายไปที่ฐานทัพอากาศเนลลิสในเนวาดาโดยใช้เครื่องเอ-7 คอร์แซร์ 2 ฝูงบินถูกรวมเข้ากับฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 37 ในปีพ.ศ. 2532 ในพ.ศ. 2535 ทั้งกองบินถูกย้ายไปที่ฐานทัพอากาศฮอลโลแมนที่นิวเม็กซิโก ที่ซึ่งมันทำหน้าที่ภายใต้ฝูงบินขับไล่ที่ 49

นักบินของเอฟ-117 เรียกตัวเองว่า"แบนดิทส์" (Bandits) นักบินแต่ละคนที่ต้องบินเอฟ-117 จะมีหมายเลขของตัวเอง อย่าง "แบนดิท 52" นั่นหมายถึงอันดับที่พวกเขาบินเอฟ-117 เป็นครั้งแรก[32]

เอฟ-117 ถูกใช้หลายครั้งในสงคราม ภารกิจแรกของมันคือการรุกรานปานามาของสหรัฐในปีพ.ศ. 2532[33] ในช่วงนั้นมีเอฟ-117เอสองลำที่ทิ้งระเบิดสองลูกใส่สนามบินริโอฮาโต


ในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปีพ.ศ. 2534 เอฟ-117เอได้ทำการบินประมาณ 1,300 ครั้งและทำแต้มด้วยการโจมตีเป้าหมายสำคัญไป 1,600 เป้าหมายในอิรัก [1] ในขณะที่ทำการบินไป 6,905 ชั่วโมง[34] เอฟ-117 มีเพียง 2.5% ของเครื่องบินสหรัฐในอิรักแต่มันก็ทำการโจมตีไปมากกว่า 40% ของเป้าหมายทางยุทธศาสตร์[35] "ในขณะทำภารกิจนักบินเอฟ-117เอได้ทิ้งระเบิดนำวิถีไปกว่า 2,000 ตันโดยมีอัตราการโดนเป้าหมายมากกว่า 80% แม้ว่าฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 37 และเครื่องบินสเตลท์อีก 42 ลำจะเป็นเพียง 2.5% ของเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตีทั้งหมดของพันธมิตรในสงครามอ่าว เอฟ-117เอก็ได้รับงานมากกว่า 31% ของการทิ้งระเบิดทั้งหมดใส่อิรักตลอด 24 ชั่งโมง"[34] ในสงครามมันทำงานไม่ค่อยดีนักในการทิ้งสมาร์ทบอมบ์ใส่เป้าหมายทางทหาร โดยมีอัตราการโดนเป้าหมายเพียง 40% เท่านั้น[36]

มันเป็นเครื่องบินในไม่กี่ลำของสหรัฐและกองกำลังผสมที่เข้าโจมตีแบกแดด อีกพวกหนึ่งคือเอฟ-16 ซึ่งได้โจมตีแบกแดดในช่วงกลางวันของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2534 ในภารกิจ"แพ็คเกจ คิว" (Package Q) อันเป็นการบินโจมตีครั้งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในสงคราม[37]

ตั้งแต่ที่ถูกย้ายไปยังฐานทัพอากาศฮอลโลแมนในปีพ.ศ. 2535 เอฟ-117เอและนักบินทั้งชายและหญิงของฝูงบินขับไล่ที่ 49 ก็ถูกวางพลที่เอเชียตะวันตกเฉียงใต้มากกว่าหนึ่งครั้ง ในการเดินทางครั้งแรกเอฟ-117 ได้บินตั้งแต่ฐานทัพอากาศฮอลโลแมนไปคูเวตโดยไม่หยุดพัก โดยใช้เวลาไปประมาณ 18.5 ชั่วโมง เป็นสถิติสำหรับเครื่องบินขับไล่หนึ่งที่นั่งที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้[1]

มันถูกใช้ในปฏิบัติการแอลไลด์ฟอร์ซในปีพ.ศ. 2542 ปฏิบัติการเอ็นดัวริ่งฟรีดอมในปีพ.ศ. 2544 และปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักในปีพ.ศ. 2546

การสูญเสีย

ฝาครอบห้องนักบินของเอฟ-117 ที่ถูกยิงตกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2542 ในเซอร์เบีย

เอฟ-117 ลำหนึ่งถูกยิงตกขณะทำการรบกับกองทัพเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2542 ในสงครามคอซอวอ กองพันที่ 3 แห่งกรมขีปนาวุธป้องกันอากาศที่ 250 ภายใต้การบัญชาการของผู้พันซอลทาน ดานิ (Zoltán Dani)[38], ที่มีระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบไอซาเยฟ เอส-125 เนวา ได้ยิงเอฟ-117เอที่มีชื่อรหัสว่า"เวก้า 31" หมายเลข 82-0806 ตก[39][40] ตามที่ผู้บัญชาการนาโต้เวสลีย์ คลาร์กและนายพลคนอื่นๆ กล่าว การป้องกันทางอากาศของเซอร์เบียได้ตรวจพบเอฟ-117 โดยใช้เรดาร์ของพวกเขาด้วยความยาวคลื่นที่มากกว่าปกติ ทำให้พวกมันถูกมองเห็นในเรดาร์ไม่นานก่อนถูกยิงตก

ตามที่รายงานเอสเอ-3 จำนวนมากถูกยิงจากระยะ 8 ไมล์ห่างออกไป มีลูกหนึ่งที่ระเบิดใกล้กับเอฟ-117เอจนทำให้นักบินต้องดีดตัวออก แม้ว่ามันยังคงเป็นความลับ แต่ก็เชื่อกันว่าเอฟ-117 ไม่มีเรดาร์เตือนภัย มันดูเหมือนว่านักบินจะเห็นขีปนาวุธเพราะเปลวไฟของมัน ด้วยระยะขนาดนนี้และผสมกับความเร็วนักบินจึงมีเวลาเพียง 6 วินาทีที่จะหาทางออกก่อนถูกยิง ตามการสัมภาษณ์ ซอลทาน ดานิเคลื่อนย้ายตำแหน่งขีปนาวุธของเขาบ่อยมาก และมีคนคอยตรวจหาเอฟ-117 และเครื่องบินลำอื่นๆ ของนาโต้ เขาได้ดัดแปลงเรดาร์จับเป้าของเขาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับของมัน [40] ผู้บัญชาการและทหารที่ประจำเครื่องยิงขีปนาวุธคาดเดาจากการบินของเอฟ-117เอก่อนหน้าจากเรดาร์ที่ยากที่จะเห็นและติดตั้งขีปนาวุธและคนชี้เป้าตามนั้น เชื่อกันว่าทหารประจำเอสเอ-3 และคนชี้เป้าสามารถบอกตำแหน่งและติดตามเอฟ-117เอได้ อาจด้วยระบบอินฟราเรดและระบบมองกลางคืน เขาอ้างว่าขีปนาวุธของเขาได้ยิงเอฟ-16 ตกเช่นเดียวกัน[40]

นักบินของเอฟ-117 รอดและได้รับการช่วยเหลือโดยหน่วยพลร่อมของสหรัฐ ซากของเอฟ-117 ไม่ได้ถูกทำลายทิ้ง เพราะว่าไม่มีสื่อในพื้นที่นั้น เซอร์เบียได้นำบุคคลากรของรัสเซียมาตรวจสอบซากที่เหลือ เป็นการเปิดเผยเทคโนโลยีอายุ 25 ปีของสหรัฐ[41] ซากถูกนำไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์การบินในเบลเกรดใกล้กับสนามบินเบลเกรดนิโคลา เทสลา มีการระบุชื่อนักบินผิดพลาดอย่างมาก ในขณะที่"ผู้กองเคน วิซ ดเวลล์"เป็นชื่อที่ปรากฏบนฝาครอบห้องนักบิน ต่อมาก็มีการเปิดเผยว่านักบินที่บินเครื่องลำนั้นคือผู้หมวดโคล เดล เซลโค[42][43]

จากแหล่งข้อมูลบางแห่งของอเมริกากล่าวว่าเอฟ-117เอลำที่สองได้รับความเสียหายในภารกิจเดียวกัน ประมาณวันที่ 30 เมษายน[44] แม้ว่าเครื่องบินจะสามารถบินกลับฐานได้ มันก็ไม่ขึ้นบินอีกเลย[45][46]

การปลดประจำการ

แม้ว่ามันจะถูกผลิตมาเพื่อการรบ เอฟ-117 ก็ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ล้าสมัยของทศวรรษที่1970 เทคโนโลยีล่องหนของมันด้อยกว่าบี-2 สปิริทและเอฟ-22 แร็พเตอร์ นอกจากนั้นการออกแบบที่ใช้เหลี่ยมมุมก็หมดไปเมื่อเทคโลโยลีใหม่ๆ เกิดขึ้นมา โครงการตัดทุนในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ได้เสนอให้ปลดประจำการเอฟ-117 ทั้งกองบินในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 เพื่อนำเงินไปซื้อเอฟ-22เอเพิ่ม โครงการดังกล่าวบังคับให้ปลดประจำการเครื่องบิน 10 ลำในปีพ.ศ. 2550 และอีก 42 ลำที่เหลือในปีพ.ศ. 2551 และกล่าวว่ากองทัพอากาศยังมีเครื่องบินชนิดอื่นที่สามารถทำหน้าที่แทนมันได้ อย่าง บี-2 เอฟ-22 และแจสม์[47] เดิมทีกองทัพอากาศได้วางแผนว่าจะปลดประจำการเอฟ-117 ในปีพ.ศ. 2554 ต่อมากองทัพอากาศได้ตัดสินใจที่จะปลดประจำการเอฟ-117 เร็วกว่านั้นเพื่อเพิ่มทุนในการพัฒนาเครื่องบินลำอื่น[32] สิ่งนี้จะเป็นการประหยัดงบประมาณไป 1.7 พันล้านดอลลาร์[48]

ในปลายปี 2549 กองทัพอากาศได้ปิดโรงเรียนนักบินเอฟ-117[49] และประกาศว่าเอฟ-117 ถูกปลดประจำการ[50] เครื่องบินหกลำแรกถูกปลดประจำการในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2550 หลังจากเสร็จสิ้นพิธีที่ฐานทัพอากาศฮอลโลแมน นายพลเดวิด โกลด์เฟน ผู้บัญชาการฝูงบินขับไล่ที่ 49 กล่าวในงานว่า "เมื่อเครื่องบินเหล่านี้ถูกนำมาใช้จนถึงวันนี้ วงจรได้สิ้นสุดลงแล้ว หน้าที่ของพวกมันในการป้องกันชาติของเขาได้เสร็จสิ้นแล้ว ภารกิจของพวกมันสมบูรณ์และทำงานได้ดี เราส่งพวกมันไปยังที่พำนักสุดท้าย บ้านที่พวกมันคุ้นเคย บ้านหลังแรกและหลังเดียวนอกฮอลโลแมน"[51]

ไม่เหมือนกับเครื่องบินส่วนใหญ่ของกองทัพอากาศซึ่งถูกปลดประจำการไปยังฐานทัพอากาศเดวิส-มอนแธน เอฟ-117 ถูกปลดประจำการไปยังสนามบินทดสอบระยะโทนาปาห์ ที่โทนาปาห์ปีกของพวกมันจะถูกนำออกและตัวเครื่องจะถูกเก็บไว้ในโรงเก็บเครื่องบิน[51] ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีการรายงานว่าเอฟ-117 ลำสุดท้ายที่ทำหน้าที่จะถูกเก็บในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551 ในที่ที่มันทำการบินเป็นครั้งแรก[32] เอฟ-117 ถูกปลดประจำการในช่วงพิธีกรรมที่ปาร์มเดลและโทนาปาห์ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551[2] เครื่องบินสี่ลำยังคงบินต่อหลังเดือนเมษายนโดยฝูงบินทดสอบที่ 410 ที่ปาร์มเดลสำหรับการบินทดสอบต่อไป เมื่อเริ่มเดือนสิงหาคมก็เหลืออยู่สองลำจากนั้นลำสุดท้ายก็ออกจากปาร์มเดลในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551[52] เมื่อเครื่องบินลำสุดท้ายบินออก ฝูงบินที่ 410 ก็ถูกยุบลงและจัดทำพิธีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551[53]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอฟ-117 ไนท์ฮอว์ก http://www.airpower.at/news02/1023_f-117a/index.ht... http://www.air-attack.com/page/44/F-117A-Nighthawk... http://www.airforcetimes.com/legacy/new/1-292925-2... http://www.airspacemag.com/issues/2008/december-ja... http://www.boston.com/news/globe/ideas/articles/20... http://www.cnn.com/US/9709/14/f117.crash.update/ http://www.cnn.com/WORLD/europe/9903/27/nato.attac... http://www.defenceaviation.com/2007/02/how-was-f-1... http://military.discovery.com/convergence/stealth/... http://www.engadget.com/2008/03/11/f-117-stealth-f...